ตรวจทานและแก้ไขโดยบลูโกสิยพงษ์น้องชายคนเล็กผู้เป็นเหมือนดวงตาและสมองของผม
เรื่องเล่าตอน16
แม่ผมเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่ไม่แน่ใจว่าไม่เก่งแค่ไหน เพราะทุกครั้งที่ผมสอบตกหรือได้คะแนนไม่ดี แม่ผมจะชมผมว่า
“ดีแล้วแหละ บอยเรียนไม่เก่งเหมือนแม่ ตอนเด็กแม่เรียนไม่รู้เรื่อง ทำการบ้านไม่ได้ ก็ต้องให้เพื่อนสอนบ้าง ลอกเขาเอาบ้าง ดังนั้น การที่บอยเรียนไม่เก่งนี่ ถือเป็นข้อดีอย่างนึง เพราะจะได้โง่เป็นเพื่อนแม่”
(เพราะทั้งพ่อผม และพี่น้องผม ทุกคนเรียนเก่งแบบเกียรตินิยมอันดับ 1, 2 เป็นที่ 1 ของภาคบ้าง ของประเทศบ้าง บางคนได้ทุนอีก) พอมีบอยเรียนไม่เก่ง แม่ก็จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว คนเดียวในบ้าน ถือว่าแม่ยังมีเพื่อน แม่ผมก็มองไปแบบนั้นอีก
ผมก็เลยไม่เคยรู้สึกเป็นปมด้อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ที่เรียนไม่เก่ง ยังแอบภูมิใจเสียอีกที่ได้ช่วยให้แม่ไม่ต้องโดดเดี่ยวในบ้าน
ตอนที่ผมจบ ม.3 คะแนนที่ออกมาคือ 1.04 สำหรับพ่อแม่ และผม ถือว่าประสพความสำเร็จมากที่ได้เกรดเฉลี่ยสูงกว่า 1 แต่สำหรับโรงเรียน เขาบอกกับผมอย่างสุภาพ ตอนผมกำลังรอตีปิงปองฉลองผลสอบอยู่ คุณพ่ออธิการเรียกตัวผมออกไปพูดลำพังว่า
“บอย ปีหน้าเธอเรียนต่อ ม.4 ไม่ได้แล้วนะ โรงเรียนของเรามีความจำเป็นที่จะต้องเก็บที่เรียนไว้ให้คนที่มีความสามารถเรียนได้”
ผมรู้สึกเฉย ๆ กับสิ่งที่คุณพ่ออธิการบอก ไม่ใช่เพราะผมไม่กลัวการถูกให้ออกจากโรงเรียน แต่ท่านพูดจาสุภาพเสียจนผมไม่แน่ใจว่า ท่านหมายความว่าอะไรกันแน่
ผมกลับไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง แม่ผมแปลความหมายให้ผมเข้าใจว่า
“โรงเรียนเขาไม่มีความสามารถสอนบอยได้ จึงอยากให้บอยไปหาโรงเรียนที่มีความสามารถกว่านี้เรียน”
ผมก็ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ แม่เลยถามผมว่า จะไปลองเรียนที่เมืองนอกกับพี่อัช (พี่ชายคนโตของผม ซึ่งขณะนั้นก็เรียนจบชั้น มศ.5 พอดี เค้าจะไปเรียนมหาวิทยาลัยต่อที่อเมริกา ) ไหม? ผมซึ่งไม่ทันคิดให้ดี และตอนนั้น ภาษาอังกฤษผมแย่มาก เรียกว่าไม่รู้เรื่องเลยก็ได้ แต่ก็ตอบตกลงไปก่อน
ในสมัยนั้น การไปเรียนต่อต่างประเทศยังเป็นเรื่องที่ไหญ่ ต้องมีการติดต่อ หาโรงเรียน หาที่พักกับครอบครัวต่างชาติ และเตรียมการเรื่องเงิน เรื่องเสื้อผ้า และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย เพราะการติดต่อสื่อสาร และการเดินทาง ไม่ได้สะดวกเหมือนตอนนี้ แต่พ่อแม่ผมก็เตรียมการทุกอย่างให้อย่างรวดเร็ว
เมื่อใกล้วันเดินทาง ผมชักลังเล ไม่อยากไป พ่อแม่ต้องเอาของเล่นมาล่อว่าถ้ายอมไป จะพาไปซื้อของเล่น
ผมถึงยอมไป พอไปต่อเครื่องที่ ฮ่องกง ผมจัดของเล่นไปชุดใหญ่ เพราะคิดว่าจะได้เอาไว้เล่นแก้เหงา
เมื่อไปถึงอเมริกา ผมพบว่าผมต้องอยู่กับครอบครัวฝรั่งครอบครัวหนึ่ง พร้อมกับพี่ชายที่เรียนเก่งและเต็มไปด้วยความตั้งใจ ถ้าผมเป็นพ่อแม่ ผมคงจะภูมิในตัวพี่ชายคนนี้ของผมมาก
อัช โกสิยพงษ์ ผู้ที่ประหยัดทุกอย่างในชีวิตเพื่อช่วยพ่อแม่ แม้ตอนกินไอติม ศาลาโฟโมสต์ ยังไม่เคยใส่ทอปปิ้ง หรือสั่งไอติม มากกว่าหนึ่งลูกเลย ส่วนผม สั่งอย่างเต็มที่ทุกครั้ง ทอปปิ้งมาเต็ม บางทีก็กินไม่หมดอีก 555 แต่พ่อแม่ผมก็ไม่เคยเปรียบเทียบผม ซึ่งตรงกันข้ามกับพี่ชายอย่าง ซ้าย กับ ขวา
วันสมัครเข้าเรียนวันแรก หลังจากจ่ายค่าเล่าเรียนไปเรียบร้อย ในคืนนั้นผมมานั่งคิดเดินคิดว่า ที่เราอยู่ได้นี่เป็นเพราะพ่อแม่ยังอยู่แต่ถ้าพ่อแม่กลับไปแล้ว เหลือแค่เรากับพี่ชาย ผมคงต้องคิดถึงพ่อแม่ผมอย่างมาก
จินตนาการความโศรกเศร้าแห่งการแยกจากก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงไตร่ตรอง ว่ามันจะห่วยไปไหม ถ้าเราขอพ่อแม่กลับไปบ้านด้วยทั้งที่เพิ่งจะจ่ายตังค์ค่าเรียน ค่าที่พัก รวมทั้งของเล่นครบ Set ของ He-Man and the Masters of the Universe และยังมี TechnoRobo CompoBoy ตัวเบ่อเร่อที่พ่อแม่ซื้อไว้ให้ผมเล่นเวลาเหงาอีก (ทั้งหมดนั้นราคาแพงมาก) ซึ่งเราก็รับมาแล้ว มันจะทุเรศมากไปไหม ถ้าเราจะขอกลับไทยพร้อมพ่อกับแม่ เพราะผมจินตนาการแล้วว่า ผมคงคิดถึงพ่อแม่ตายแน่!
ผมใช้ความฮึดเดินเข้าไปคุยกับพ่อก่อน เพราะพ่อผมเข้มแข็ง น่าจะสามารถรับเรื่องผิดหวังทุกเรื่องได้
ที่สวนหน้าบ้าน
“พ่อ..สงสัยบอยจะอยู่ไม่ได้อะพ่อ ถ้าพ่อแม่กลับ บอยก็กลัวคิดถึงพ่อแม่ แล้วบอยก็ต้องร้องไห้ แล้วอากาศมันหนาวบอยก็ต้องเศร้า แต่บอยก็รู้สึกผิดมากที่พ่อกับแม่ซื้อของเล่นมาให้บอยเยอะแล้วแต่ก็ยังอยู่ไม่ได้...."
พ่อผมนิ่งไปไม่เกินสามวินาที
“ถ้าบอยคิดว่าอยู่ไม่ได้งั้นบอยก็กลับเมืองไทยพร้อมพ่อกับแม่"
พ่อตอบแบบโครตใจดี
"แล้วแม่จะว่าอะไรไหมอะ?" ผมถาม
"แม่ไม่ว่าหรอก ถ้าบอยอยู่ไม่ได้จะให้บอยอยู่ทำไม กลับไปหาที่เรียนที่กรุงเทพก็ได้ "
พ่อตอบอย่างให้ความหวัง
“แล้วของเล่นที่พ่อให้มาล่ะ ?”
พ่อตอบว่า “ก็เอากลับไปเล่นที่เมืองไทย”
แต่สุดท้ายผมลืมเอา He-Man ทั้ง set กลับมา
พอพ่อไปคุยกับแม่ว่า บอยมันอยู่ไม่ไหว แม่ก็เดินมาลูบหัวผม แล้วบอกว่าไม่ไหวก็ไม่ไหวลูก แต่น่าจะบอกแม่ก่อนจ่ายเงินค่าเล่าเรียนก็ยังดี จนเป็นเรื่องโจ๊กประจำครอบครัวมาตลอดในเรื่องนี้
ผมก็ไม่รู้ว่า การตามใจของพ่อแม่ผมมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ผมคิดกับเขาเลยคือ ชีวิตนี้ต้องทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเราให้ได้ ต้องทำให้พ่อแม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเรา รับรู้ให้ได้ว่า ผมรักและเทิดทูนความรักของท่านทั้งสองแค่ไหนผมรู้สึกว่า พ่อแม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจทุกอย่างของผม
มีครั้งนึงที่พ่อเอ่ยปากว่าในครอบครัวเรา พ่อฝากความหวังไว้กับบอยนะ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าพ่อพูดแบบนี้กับลูกทุกคน เพื่อปลุกพลังใจหรือเปล่า แต่มันใช้ได้มากเลยสำหรับผมฮะ
สงสัยต้องอีกอย่างน้อยสองสามตอนถึงจะจบ
ท่านจอมพล ปล่อยผมสักสองสามวันแล้วผมจะกลับมาเขียนเรื่องตามแผนท่านนะครับ
มันอินอะเวลาพูดเรื่องเก่าๆ
ด้วยรักและคิดถึง